สิ้นสุดการรอคอยสำหรับงานใหญ่ประจำปี กับการเปิดตัวไอโฟน และสินค้าใหม่ iPhone X, iPhone 8, iPhone 8 Plus, Apple Watch Series 3 และ Apple TV 4K ที่ผ่านไปแล้วเมื่อคืนนี้ ปีนี้ไม่มีอะไรเซอร์ไพร์สเลยก็ว่าได้ เพราะข้อมูลทุกอย่างหลุดออกมาทั้งชื่อ ทั้งสเปค มาดูสรุปรวมไฮไลท์ในงาน Apple Event September 2017 กันว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
iPhone X
ไอโฟนรุ่นแรกที่ใช้หน้าจอ OLED เป็นรุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 10 ปี iPhone X นั้นทางแอปเปิลออกเสียงว่า ไอโฟนเท็น (ไม่ใช่เอ็กซ์) จุดเด่นที่แตกต่างจาก iPhone 8 Plus ก็คือ หน้าจอ OLED 5.8 นิ้ว หน้าจอดีไซน์ไร้ขอบ (edge to edge display) และความละเอียดสูงพิเศษ เรียกว่า Super Retina Display ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล กล้องหน้า 7 MP เป็น TrueDepth Camera ที่ใช้สำหรับ ระบบสแกนใบหน้า (Face ID) และการถ่ายภาพแนว Portriat ที่มีเอฟเฟค ชัดลึกชัดตื้นด้วย ตัวเครื่องใช้เป็นกระจก โดยมีโครงเป็นโลหะสแตนเลส ไร้ปุ่ม Home และไม่มีปุ่ม Home เสมือน แต่ใช้การวาดนิ้ว (gesture) ในการทำงานแทนปุ่ม Home ทั้งหมด
สเปคนั้น ใช้ A11 Bionic โปรเซสเซอร์ 6 คอร์เหมือนกับ iPhone 8 ที่มี Neural engine ที่คอยประมวลในการสแกนใบหน้า ไฮไลท์ของ iPhone X ที่เป็นลูกเล่นเฉพาะตัวก็คือ Animoji ซึ่งก็คือ อีโมจิที่สามารถขยับตามสีหน้าของผู้ใช้ด้วย ส่วนกล้องนั้นเท่ากับ iPhone 8 Plus แต่ตัวเซ็นเซอร์ใหญ่ และเร็วกว่า มีระบบ OIS ทั้ง 2 ชิ้นเลนส์ ดังนั้นซูมภาพในสภาวะแสงน้อยได้ดี และภาพวิดีโอที่อัดจะสั่วไหวน้อยลง ส่วนไฟแฟลชจะเป็น LED 4 True Tone ตัวที่ให้แสงได้ดีกว่า 2 เท่า แบตเตอรี่อึดขึ้นกว่า iPhone 7 และ iPhone 8 กว่า 2 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จไฟไร้สาย
iPhone X มีเพียง 2 สีคือ สีขาว และสีดำ ไม่มีสีทองตามข่าว มีความจุ 2 รุ่นเหมือนกันคือ 64 GB ราคา $999 และ 256 GB ราคา $1,150 วางจำหน่ายในต่างประเทศเดือนตุลาคม ประเทศไทยเร็วสุดคงพฤศจิกายน แต่ลุ้นเป็นเดือนธันวาคมน่าจะง่ายกว่า
เพิ่มเติม :
- เทียบสเปค iPhone X กับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
- เทียบระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่ iPhone X กับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
iPhone 8 ไอโฟนรุ่นหน้าจอ LCD ที่อัพเกรดจาก iPhone 7 ดีไซน์คงเดิม แต่ตัวเครื่องเปลี่ยนวัสดุมาเป็นกระจก ทั้งด้านหน้าและหลัง อะลูมีเนียมเป็นโครงยึดตรงกลาง เคลือบสี 7 ชั้น หน้าจอขนาดเท่าเดิมคือ 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว สิ่งที่ปรับปรุงเพิ่มคือ การแสดงสีที่แม่นยำขึ้น หน้าจอเป็น True tone display ปรับปรุงลำโพงสเตริโอ ให้ขับเสียงเบสได้ดีขึ้น 25% เทียบกับ iPhone 7
สเปคคือ โปรเซสเซอร์ A11 Bionic ที่มีถึง six-core แบ่งเป็น 2 core เปี่ยมประสิทธิภาพ ทำงานได้เร็วกว่า A10 อยู่ที่ 25% และ 4 core ประสิทธิภาพสูง ทำงานได้เร็วกว่า A10 สูงถึง 70% ซึ่ง และแอปเปิลออกแบบ GPU เองแล้ว ประสิทธิภาพดีขึ้น 30% เทียบกับ A10 แต่กินไฟเพียงครึ่งเดียว และยังออกแบบ ส่วนของ ISP ที่แอปเปิลออกแบบเอง ที่ช่วยในเรื่องของการถ่ายภาพ ทำให้จับภาพในที่แสงน้อยได้เร็วขึ้น ประมวลภาพภาพดีขึ้น และภาพมี noise ลดลง
ส่วนกล้องแม้กล้องหลังจะ 12 MP เท่าเดิม แต่เซ็นเซอร์ตัวใหม่ มีพิกเซลที่ละเอียดขึ้น และเพิ่มฟิลเตอร์สีใหม่ และเป็นครั้งแรกที่ใส่ ระบบกันภาพสั่นไหว ให้กับไอโฟนรุ่นเล็ก iPhone 8 ส่วน iPhone 8 Plus สเปคกล้องเหมือนกัน ต่างกันที่ ค่ารูรับแสง f/1.8 และ f/2.8 ภาพถ่ายจะมีฟีเจอร์ใหม่ Portrait Lighting ที่ปรับแสงด้วย lighting effect เป็นไฮไลท์สำหรับกล้องของ iPhone 8 Plus ที่จะถ่ายภาพบุคคลได้สวยขึ้นกว่าเดิม ส่วนวิดีโอนั้นสามารถถ่ายได้ที่ 4K เฟรมเรท 60fps
รองรับเทคโนโลยี AR เต็มรูปแบบ ด้วยการใส่ gyro และ accelerometer ตัวใหม่, กล้องปรับตั้งมาให้พร้อมใช้กับ AR การตัวจับความเคลื่อนไหวมีความแม่นยำมากขึ้น สุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus รองรับ Qi Wireless Charging สามารถใช้อุปกรณ์ชาร์จไฟไร้สายตามมาตราฐาน Qi ได้ทั้งหมด
ราคาในต่างประเทศ iPhone 8 เริ่มต้นที่ $699 ส่วน iPhone 8 Plus เริ่มต้น $799 ปีนี้มีทั้งหมด 3 สีคือ สีเงิน สีสเปย์เกรย์ และสีทอง เปิดจอง 15 กันยายน วางขาย 22 กันยายนในต่างประเทศ
Apple Watch Series 3
Apple Watch เป็นนาฬิกาที่ขายดีที่สุดในโลก แซงนำหน้า Rolex ไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนจุดเด่นของ Series 3 ก็คือ สามารถต่อเน็ตมือถือ 4G LTE ได้ผ่าน eSIM ที่ฝังในตัวเครื่อง โดยใช้เบอร์เดียว ข้อมูลเดียวกับไอโฟน ดังนั้นต่อไป ไม่จำเป็นต้องพกไอโฟนไปด้วยแล้ว ใช้ Apple Watch Series 3 เรือนเดียว ก็ใช้งานภาคโทรศัพท์ของไอโฟนได้เกือบทั้งหมด ทั้งโทรออก รับสาย รับ/ส่ง SMS ใช้ระบุตำแหน่งพิกัดดาวเทียม ออกกำลังกายกลางแจ้ง ยังสามารถนำทางด้วย Apple Maps และสตรีมมิ่งเพลงผ่าน Apple Musicได้
ส่วนสเปคนั้น ใช้โปรเซสเซอร์ dual-core ตัวใหม่ เร็วขึ้น 70% (Apple ไม่ระบุชื่อ) ใส่ชิป W2 ชิปสำหรับภาคสัญญาณไร้สายต่างๆ ทำให้ Wi-Fi เร็วขึ้น 85% เพิ่ม barometric altimeter ช่วยให้วัดระดับความสูง มีประโยชน์เมื่อนำไปใช้ในที่สูง นอกจากนี้ยังเพิ่มสายนาฬิกาแบบใหม่ ที่เรียกว่า Sport Loop เป็นสายไนลอนถัก
ประเทศไทย ราคาเริ่มต้น 11,900 บาท วางจำหน่าย 29 กันยายนนี้
Apple TV 4K
เปิดโลกความคมชัดระดับ 4K พร้อมทั้งรองรับระบบ HDR 10 และ Dolby Vision ทำให้ Apple TV 4K นี้สามารถส่งมอบวิดีโอความละเอียดสูงระดับ HD4K ที่มีความคมชัด และแสงสีที่สดใส ด้วย HDR จาก แอปดังทั้ง Netflix, TED, Amazon Prime Video รวมไปถึง หนังที่จำหน่ายใน iTunes Movies Store จะเปลี่ยนจาก HD เป็น 4K โดย หนัง 4K จำหน่ายในราคาเดิมเท่าหนัง HD ใครซื้อหนัง HD ไปก็จะได้รับการปรับเป็นหนัง 4K อัตโนมัติ
สเปคนั้น อัพเกรดใหญ่ เป็นโปรเซสเซอร์ A10X ส่วน Siri Remote มีการปรับปรุงเล็กน้อย และข่าวดีคือ ช่องต่อสาย LAN กลับมาแล้วในรุ่นนี้
ประเทศไทย ยังไม่มีกำหนดจำหน่าย ขายราคาเท่าเดิมคือ ราคา 8,500 บาทสำหรับรุ่น 32 GB และ 9,200 บาทสำหรับรุ่น 64 GB
AirPower
เป็นอุปกรณ์เสริม ที่มาเซอร์ไพร์สในงานนี้ (มากที่สุดแล้ว) AirPower เป็นถาดชาร์จไฟไร้สาย ที่สามารถชาร์จอุปกรณ์ของแอปเปิลที่รองรับระบบชาร์จไร้สายได้ทั้งหมด ได้แก่ iPhone 8, iPhone 8 Plus, iPhone X, กล่องใส่ AirPods (รุ่นใหม่), Apple Watch Series 3 แต่แอปเปิลยังพัฒนาไม่เสร็จเรียบร้อยดี จึงจะวางจำหน่ายในปีหน้า 2018 แต่ก็ถือว่าระบบชาร์จไฟไร้สายของ Apple ไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเลย เทียบกับข่าวที่ลือกันออกมา ที่ช่วงแรกบอกว่าจะเป็นการชาร์จไฟไร้สายจากระยะไกล ชาร์จได้แม้ไม่ได้วางไว้บนแท่นชาร์จ
สรุปงานเปิดตัว iPhone X ใน 15 นาที
สรุปงานเปิดตัว iPhone X ใน 5 นาที